EV Charger ยี่ห้อไหนดี? รวม 5 รุ่นยอดนิยมที่คนไทยเลือกใช้

[post-views]
EV Charger,เครื่อง ชาร์จ รถยนต์ ไฟฟ้า,เครื่อง ชาร์จ แบตเตอรี่ รถไฟฟ้า,ตู้ ชาร์จ รถยนต์ ไฟฟ้า,เครื่อง ชาร์จ รถยนต์ ไฟฟ้า

   ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับความนิยมมากขึ้น เจ้าของบ้านหลายคนจึงเริ่มมองหาวิธีติดตั้ง EV Charger หรือ เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ไว้ที่บ้าน เพื่อความสะดวกในการชาร์จแบตเตอรี่รถไฟฟ้าได้เองทุกวัน การมีตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับการไปใช้สถานีชาร์จนอกบ้าน อย่างไรก็ตาม การเลือก เครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถไฟฟ้า ที่เหมาะสมกับบ้านต้องพิจารณาหลายปัจจัย ทั้งประเภทของเครื่องชาร์จ กำลังไฟที่รองรับ ตลอดจนความปลอดภัยในการติดตั้ง บทความนี้จะอธิบายว่า EV Charger คืออะไร มีกี่ประเภท แต่ละแบบมีกำลังไฟเท่าไร เหมาะกับบ้านแบบไหน พร้อมแนะนำ 5 รุ่นเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยมในไทย ปี 2025 โดยเน้นข้อมูลเชิงเทคนิคและเปรียบเทียบอย่างเป็นกลาง เพื่อช่วยให้คุณเลือกได้อย่างมั่นใจ

EV Charger คืออะไร? มีกี่ประเภท?

   EV Charger คืออุปกรณ์สำหรับจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับรถยนต์ไฟฟ้า ผ่านการแปลงไฟบ้านเพื่อชาร์จเข้าแบตเตอรี่ของรถ EV ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้:

  • เครื่องชาร์จแบบติดผนัง (Wallbox): เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ติดตั้งถาวรบนผนังหรือเสา เหมาะสำหรับใช้งานที่บ้านหรืออาคาร เป็นการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ผ่านกล่องชาร์จที่มีระบบควบคุมในตัว รถจะใช้ On-board Charger ภายในรถแปลงไฟ AC เป็นไฟ DC เข้าแบตเตอรี่ ระยะเวลาการชาร์จประมาณ 4 – 9 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับขนาดแบตฯ และกำลังไฟของเครื่องชาร์จ เครื่องชาร์จแบบ Wallbox มักมีกำลังไฟสูงกว่าแบบพกพา และมีฟังก์ชันอัจฉริยะต่าง ๆ เช่น การเชื่อมต่อแอปพลิเคชันเพื่อควบคุมการชาร์จ

  • เครื่องชาร์จแบบพกพา (Portable EV Charger): อุปกรณ์ชาร์จรถ EV แบบเคลื่อนที่ได้ มักมาพร้อมกับรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่น ลักษณะเป็นสายชาร์จที่ปลายด้านหนึ่งเป็นหัวชาร์จสำหรับเสียบรถ อีกด้านหนึ่งเป็นปลั๊กสำหรับเสียบเต้ารับไฟบ้านมาตรฐาน จุดเด่นคือสามารถพกติดรถไปใช้ชาร์จได้ทุกที่ที่มีปลั๊กไฟทั่วไป เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบพกพา มักรองรับกระแสไฟได้จำกัด (เช่น 10-16A) ให้กำลังไฟประมาณ 2.3 – 3.7 kW เท่านั้น ทำให้ใช้เวลาชาร์จนานกว่าแบบติดผนัง (อาจมากกว่า 12 ชั่วโมงในการชาร์จเต็มหนึ่งคัน)plughaus.co เหมาะสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือต้องเดินทางไกลที่ไม่สะดวกหาสถานีชาร์จ แต่ในชีวิตประจำวันควรมีจุดชาร์จที่ติดตั้งถาวรเพื่อความปลอดภัยและรวดเร็วมากกว่า

  • เครื่องชาร์จด่วนแบบ DC (DC Fast Charger): เครื่องชาร์จไฟฟ้ากระแสตรงกำลังสูง มักพบตามสถานีชาร์จสาธารณะหรือปั๊มน้ำมันที่ให้บริการชาร์จ EV เครื่องชาร์จประเภทนี้จ่ายไฟ DC เข้าสู่แบตเตอรี่โดยตรง (มีตัวแปลงในตู้ชาร์จ) ทำให้ชาร์จได้เร็วมาก เช่น ชาร์จได้ 80% ในเวลาประมาณ 30–60 นาที ขึ้นอยู่กับกำลังวัตต์ของเครื่อง (เช่น 50 kW, 120 kW หรือสูงกว่า) DC Fast Charger มีราคาสูงและต้องการระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ จึงไม่ค่อยนิยมติดตั้งในบ้านพักอาศัย แต่เป็นทางเลือกสำหรับสถานีบริการหรือองค์กรที่ต้องการความรวดเร็วในการชาร์จ

โดยสรุป สำหรับการใช้งานในบ้าน เครื่องชาร์จแบบติดผนัง (Wallbox) และ แบบพกพา (Portable) ที่เป็นการชาร์จแบบ AC จะเหมาะสมที่สุด ส่วน เครื่องชาร์จแบบ DC กำลังสูงนั้นเหมาะสำหรับสถานีชาร์จนอกบ้านหรือกรณีเชิงพาณิชย์มากกว่า

เลือกกำลังไฟให้เหมาะกับบ้าน: 3.7kW, 7.4kW, 11kW, 22kW ต่างกันอย่างไร?

   เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นจะระบุกำลังไฟสูงสุดเป็นกิโลวัตต์ (kW) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อระยะเวลาการชาร์จและความต้องการทางไฟฟ้าของบ้าน กำลังไฟที่นิยมในเครื่องชาร์จบ้าน ได้แก่ 3.7 kW, 7.4 kW, 11 kW และ 22 kW โดยมีความแตกต่างดังนี้:

3.7 kW (16A, 1 เฟส)

   กำลังไฟระดับเริ่มต้นที่มักได้จากการชาร์จผ่านเต้ารับปลั๊กบ้านปกติหรือเครื่องชาร์จพกพา ใช้กระแสไฟประมาณ 16 แอมป์ที่ไฟบ้าน 230V ให้กำลังไฟราว 3.7 กิโลวัตต์ การชาร์จด้วยกำลังไฟระดับนี้จะค่อนข้างช้า เหมาะกับรถที่มีแบตเตอรี่ขนาดเล็กหรือการชาร์จข้ามคืนนานๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่แบตไม่ใหญ่ ใช้เวลาชาร์จเต็มประมาณ 12-15 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่)​ บ้านทั่วไปที่มีมิเตอร์ไฟฟ้าขนาด 15(45)A สามารถรองรับการชาร์จระดับนี้ได้ แต่ก็ควรติดตั้งเต้ารับเฉพาะวงจรสำหรับชาร์จรถ โดยไม่ใช้ร่วมกับวงจรปลั๊กอื่นๆ เพื่อความปลอดภัย​

7.4 kW (32A, 1 เฟส)

   กำลังไฟระดับกลางที่นิยมสำหรับ Wallbox ในบ้านพักอาศัย ใช้กระแสไฟประมาณ 32 แอมป์บนไฟบ้านเฟสเดียว 230V ให้กำลังราว 7.4 กิโลวัตต์ การชาร์จระดับนี้จะเร็วขึ้นมาก โดยสามารถชาร์จรถ EV ทั่วไปเต็มได้ในเวลาประมาณ 4–7 ชั่วโมง​เหมาะกับการชาร์จรถข้ามคืนหรือชาร์จเติมระหว่างวันสำหรับรถที่ใช้งานประจำ บ้านที่จะติดตั้งเครื่องชาร์จ 7.4 kW ควรมีมิเตอร์ไฟขนาด 30(100)A ขึ้นไป และเดินสายไฟรวมถึงเบรกเกอร์ให้รองรับกระแส 32A ได้อย่างปลอดภัย 

11 kW (16A x 3 เฟส)

   กำลังไฟระดับสูงที่ได้จากการใช้ไฟสามเฟส 380V (แต่ละเฟส 16A) ให้กำลังรวมประมาณ 11 kW เครื่องชาร์จระดับนี้จะชาร์จเร็วกว่า 7.4 kW ราว 1.5 เท่า (ชาร์จเต็มได้ภายใน ~3-5 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับรถ) เหมาะสำหรับบ้านหรืออาคารที่มีระบบไฟฟ้า 3 เฟสอยู่แล้ว ข้อควรคำนึงคือไม่ใช่รถ EV ทุกรุ่นที่จะรองรับการชาร์จ 3 เฟส 11 kW รถยุโรปหลายรุ่นมักรองรับ (On-board Charger 11 kW) แต่รถบางรุ่นที่รองรับเฉพาะ 1 เฟส 7 kW การติดตั้งเครื่อง 11 kW ก็จะถูกจำกัดด้วยระบบของรถอยู่ดี บ้านที่จะติดตั้งต้องให้การไฟฟ้าเดินไฟ 3 เฟสเข้าบ้าน และอัปเกรดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องให้รองรับ 3 เฟสด้วย

22 kW (32A x 3 เฟส)

   กำลังไฟสูงสุดสำหรับเครื่องชาร์จ AC บ้านที่มีวางจำหน่ายทั่วไป ให้กระแสสูงถึงเฟสละ ~32A บนระบบไฟ 3 เฟส รวมกำลังประมาณ 22 kW การชาร์จที่ 22 kW สามารถเติมไฟได้รวดเร็วมาก เช่น อาจชาร์จรถที่มีแบต 50 kWh จาก 0-100% ได้ใน ~2-3 ชั่วโมง อย่างไรก็ดี รถที่จะรับการชาร์จระดับนี้ได้ต้องมี On-board Charger รองรับ 22 kW (รถบางรุ่นในยุโรป เช่น Renault Zoe รองรับ แต่รถรุ่นใหม่หลายรุ่นรองรับสูงสุด 7-11 kW เท่านั้น) การติดตั้งเครื่องชาร์จ 22 kW ในบ้านต้องขอไฟฟ้า 3 เฟสขนาดใหญ่มาก มิเตอร์ควรเป็นระดับ 30(100)A 3 เฟส หรือสูงกว่า และอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดตั้งแต่หม้อแปลง, สายเมน, เบรกเกอร์ ต้องรองรับกระแสสูงถึง ~96A รวมทุกเฟส

ควรเลือกเครื่องชาร์จขนาดไหนดี?

   สำหรับบ้านพักอาศัยทั่วไปที่ใช้ไฟเฟสเดียว การติดตั้งเครื่องชาร์จ 7.4 kW ถือว่าเพียงพอและสมดุล ทั้งความเร็วในการชาร์จและความสามารถของระบบไฟบ้าน (7.4 kW สามารถชาร์จรถส่วนใหญ่ข้ามคืนเต็มพอดี และยังอยู่ในขอบเขตที่มิเตอร์ 30(100)A รองรับได้) แต่หากบ้านไหนไม่ได้อัปเกรดมิเตอร์และระบบไฟ ยังคงเป็น 15(45)A ก็อาจจำเป็นต้องใช้เครื่องชาร์จไม่เกิน 3.7 kW หรือใช้เครื่องชาร์จแบบพกพาต่อปลั๊กไปก่อน และวางแผนอัปเกรดไฟฟ้าในอนาคต สำหรับบ้านหรืออาคารที่มีไฟ 3 เฟส การติดตั้งเครื่อง 11 kW จะเพิ่มความเร็วขึ้นอีก และ 22 kW เหมาะในกรณีต้องการความรวดเร็วมากเป็นพิเศษหรือใช้งานในเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้อย่าลืมตรวจสอบความสามารถของรถ EV ของเราด้วยว่ารองรับกำลังชาร์จ AC สูงสุดเท่าไร เพื่อเลือกเครื่องชาร์จที่ไม่เกินความสามารถของรถจนเกินไป (เช่น รถรับได้ 7 kW ก็ไม่จำเป็นต้องติด 22 kW เพราะจะใช้ได้แค่ 7 kW อยู่ดี)

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน

   การติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน มีสิ่งสำคัญหลายด้านที่ควรตรวจสอบเตรียมความพร้อม ทั้งระบบไฟฟ้าและสถานที่ติดตั้ง เพื่อให้การชาร์จรถไฟฟ้าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้

  • ระบบไฟฟ้าและมิเตอร์ไฟของบ้าน: ก่อนติดตั้งเครื่องชาร์จ ควรตรวจสอบขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านว่าเพียงพอกับโหลดที่จะเพิ่มหรือไม่ โดยทั่วไป มิเตอร์ขนาด 15(45)A รองรับเครื่องชาร์จขนาดเล็ก (3.7 kW) ได้แบบพอดีๆ หากต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จ 7.4 kW ควรขออัปเกรดมิเตอร์เป็น 30(100)A เพื่อให้จ่ายไฟได้ถึง ~32A อย่างปลอดภัย​และกรณีติดตั้งเครื่องชาร์จกำลังสูงมาก (11-22 kW แบบ 3 เฟส) อาจต้องขอมิเตอร์ไฟ 3 เฟสและหม้อแปลงขนาดใหญ่ขึ้นจากการไฟฟ้าโดยตรง นอกจากนี้ควรเดินสายไฟจากมิเตอร์มาที่ตู้ไฟของบ้านเป็นวงจรเฉพาะสำหรับเครื่องชาร์จ (ไม่พ่วงกับวงจรใช้งานอื่น) เพื่อรองรับโหลดสูงต่อเนื่องและลดความเสี่ยงการโอเวอร์โหลดของระบบไฟเดิม
  • ขนาดสายไฟและเบรกเกอร์ (อุปกรณ์ป้องกัน): การติดตั้งวงจรชาร์จรถ EV ควรใช้สายไฟที่มีขนาดเหมาะสมกับกระแสที่เครื่องชาร์จดึง เช่น สายทองแดงขนาดไม่น้อยกว่า 6–10 ตร.มม. สำหรับเครื่องชาร์จ 32A และควรพิจารณาเพิ่มขนาดสายเมน (Main Feeder) จากมิเตอร์มาที่ตู้ไฟเป็นขนาดใหญ่ขึ้น เช่น 25 ตร.มม. เพื่อรองรับโหลดสูงอย่างปลอดภัย​ภายในตู้ควบคุมไฟฟ้าควรติดตั้ง เมนเซอร์กิตเบรกเกอร์ (MCB) ที่รองรับกระแสของเครื่องชาร์จ (เช่น เบรกเกอร์ 40A สำหรับเครื่อง 7.4 kW) พร้อมด้วย อุปกรณ์ตัดไฟรั่ว (RCD/GFCI) ป้องกันไฟดูด ซึ่งบางครั้งตัวเครื่องชาร์จอาจมีมาให้ในตัวอยู่แล้ว แต่การติดตั้งเสริมเพิ่มก็จะยิ่งเพิ่มความปลอดภัย นอกจากนี้ ควรตรวจสอบว่าตู้ไฟหลักของบ้าน (MDB) มีช่องว่างเหลือพอสำหรับติดตั้งเบรกเกอร์และอุปกรณ์ใหม่หรือไม่ หากไม่พอต้องปรับปรุงตู้ไฟให้พร้อมรองรับ
  • ตำแหน่งและพื้นที่ติดตั้งเครื่องชาร์จ: เลือกตำแหน่งติดตั้ง EV Charger ที่ใกล้กับที่จอดรถมากที่สุดเพื่อความสะดวกในการเสียบชาร์จ ตำแหน่งติดตั้งควรอยู่สูงจากพื้นประมาณ 1-1.2 เมตร (ระดับเอวถึงอก) เพื่อให้เข้าถึงปลั๊กได้ง่ายและปลอดภัยจากน้ำขัง พื้นที่บริเวณติดตั้งควรโปร่งระบายอากาศได้ดี ไม่อับชื้น หากติดตั้งภายนอกอาคาร เครื่องชาร์จควรมีมาตรฐานป้องกันน้ำและฝุ่นระดับ IP54 ขึ้นไป และอาจติดตั้งหลังคาหรือกันสาดเล็กๆ เพื่อป้องกันฝนโดยตรงและแดดจัด ยิ่งไปกว่านั้น ควรวางเครื่องชาร์จในตำแหน่งที่สายชาร์จยาวพอไปถึงช่องชาร์จของรถได้สะดวก โดยไม่พาดขวางทางเดิน ป้องกันการสะดุดล้มหรือรถทับสาย นอกจากนี้บริเวณติดตั้งควรมีที่สำหรับม้วนเก็บสายหรือแขวนหัวชาร์จเมื่อไม่ใช้งาน เพื่อความเป็นระเบียบและยืดอายุการใช้งานของสายชาร์จ
  • มาตรฐานและความปลอดภัยในการติดตั้ง: ควรให้วิศวกรหรือนายช่างไฟฟ้าที่ได้รับใบอนุญาต เป็นผู้ดำเนินการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ถูกต้องตามมาตรฐานความปลอดภัยไฟฟ้า การติดตั้งที่ถูกวิธีจะช่วยป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือไฟดูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรปฏิบัติตามมาตรฐานการติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จรถ EV ที่กำหนดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้าสำหรับบริภัณฑ์จ่ายไฟยานยนต์ไฟฟ้าฯ ที่การไฟฟ้านครหลวง/ภูมิภาคแนะนำ​ อีกทั้งผู้ติดตั้งควรใช้อุปกรณ์ที่ได้รับมาตรฐาน (มอก. หรือมาตรฐานสากล) ทุกชิ้น รวมถึงตรวจสอบให้ระบบกราวด์ของบ้านมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ แนะนำให้แจ้งบริษัทไฟฟ้าในพื้นที่ (กฟน. หรือ กฟภ.) ทราบถึงการติดตั้ง EV Charger ในบ้านเพื่อคำแนะนำหรือขออนุญาตหากจำเป็น โดยบางพื้นที่มีบริการจากการไฟฟ้าโดยตรงในการตรวจสอบและติดตั้ง เช่น โครงการ KEN (Key Energy NOW) ของการไฟฟ้านครหลวง ที่ให้บริการติดตั้งตู้ชาร์จพร้อมตรวจระบบไฟฟ้าถึงบ้าน เป็นต้น​ ทั้งนี้เพื่อความมั่นใจว่าระบบไฟฟ้าบ้านของเราพร้อมและปลอดภัยสำหรับการชาร์จรถไฟฟ้าในระยะยาว

   เมื่อเตรียมความพร้อมด้านระบบไฟฟ้าและสถานที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกซื้อรุ่นของ เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่เหมาะกับความต้องการ ในปัจจุบันมีเครื่องชาร์จให้เลือกหลายยี่ห้อหลายรุ่น เราจะขอยกตัวอย่าง 5 รุ่นยอดนิยมในประเทศไทย ปี 2025 ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้จำนวนมาก โดยแต่ละรุ่นมีจุดเด่นทางเทคนิคที่แตกต่างกันไปดังนี้

5 รุ่น EV Charger ยอดนิยมในไทย ปี 2025

   ในปี 2025 นี้ ตลาด เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบติดตั้งที่บ้าน ในประเทศไทยมีตัวเลือกหลากหลาย โดยรุ่นยอดนิยมที่ผู้ใช้ชาวไทยเลือกติดตั้งมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่:

1. Wallbox Pulsar Max

   Wallbox Pulsar Max เป็นเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติสเปนที่โดดเด่นเรื่องดีไซน์กะทัดรัดทันสมัยและประสิทธิภาพสูง รุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ใช้บ้าน เนื่องจากรองรับการชาร์จรถ EV ได้แทบทุกรุ่นที่ใช้หัวชาร์จ Type 2 อีกทั้งสามารถติดตั้งได้ทั้งในร่มและกลางแจ้ง เพราะตัวเครื่องมีความทนทานต่อสภาพอากาศที่ดี (มาตรฐานป้องกันฝุ่นน้ำระดับ IP55) และทนแรงกระแทกระดับ IK10 ทำให้มั่นใจได้ในการใช้งานระยะยาวไม่ว่าติดตั้งภายในโรงรถหรือภายนอกตัวบ้าน สำหรับสเปกทางเทคนิคที่น่าสนใจของ Wallbox Pulsar Max ได้แก่

  • กำลังไฟ: รองรับการชาร์จได้ตั้งแต่ 7.4 kW (ไฟ 1 เฟส) ไปจนถึงสูงสุด 22 kW (ไฟ 3 เฟส) ผู้ใช้สามารถเลือกขนาดให้เหมาะกับระบบไฟบ้านตนเองได้​

  • รองรับแรงดันไฟ: สามารถใช้ได้กับระบบไฟฟ้า ทั้งแบบ 1 เฟสและ 3 เฟส จึงยืดหยุ่นกับบ้านทุกแบบ และปรับกระแสชาร์จได้ (ตั้งแต่ประมาณ 6A จนถึงกระแสสูงสุดของรุ่น)

  • สายชาร์จและหัวชาร์จ: มาพร้อมสายชาร์จติดกับตัวเครื่อง มีความยาวให้เลือก 5 เมตรหรือ 7 เมตร หัวชาร์จเป็นแบบ Type 2 มาตรฐานยุโรป (Mennekes) ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในไทยรองรับ

  • ฟังก์ชันความปลอดภัย: มีระบบควบคุมแรงดันไฟฟ้าและตรวจจับความผิดปกติของกระแสไฟ ถ้ามีปัญหาหรือชาร์จเต็มแล้วตัวเครื่องจะ ตัดไฟอัตโนมัติ เพื่อป้องกันแบตเตอรี่และอุปกรณ์​

  • การเชื่อมต่ออัจฉริยะ: รองรับการควบคุมผ่าน แอปพลิเคชัน myWallbox บนสมาร์ทโฟน ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะการชาร์จ เริ่ม/หยุดการชาร์จ ตั้งตารางเวลาชาร์จ หรือดูสถิติพลังงานได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ยังมีไฟแสดงสถานะ RGB LED ที่ตัวเครื่องเพื่อบอกสถานะต่างๆ อย่างชัดเจน

  • ราคา: Wallbox Pulsar Max จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องชาร์จระดับพรีเมียม ราคาประมาณ 50,000 – 60,000 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดกำลังไฟ 7.4 kW หรือ 22 kW และความยาวสาย) ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องชาร์จคุณภาพสูง ดีไซน์สวย และฟีเจอร์ครบครัน

2. ABB Terra AC Wallbox

   ABB Terra AC Wallbox คือเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจากบริษัท ABB (เอบีบี) ผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าชั้นนำระดับโลกสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ รุ่นนี้ได้รับการยอมรับในด้านความน่าเชื่อถือและมาตรฐานความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับการติดตั้งใช้งานในบ้านหรือที่ทำงาน โดย ABB Terra AC มีจุดเด่นเรื่องฟังก์ชันสมาร์ทที่ครบครันและรองรับหัวชาร์จได้ทั้งสองมาตรฐานหลัก ทำให้ยืดหยุ่นกับรถหลายประเภท คุณสมบัติหลักของรุ่นนี้ ได้แก่

    • กำลังไฟ: มีให้เลือก 2 ขนาดคือ 7.4 kW (1 เฟส) และ 22 kW (3 เฟส) เช่นเดียวกับ Wallbox เพื่อรองรับทั้งบ้านไฟเฟสเดียวทั่วไปและสถานที่ที่มีไฟสามเฟส​

    • ประเภทหัวชาร์จ: รองรับหัวชาร์จได้ทั้ง Type 1 และ Type 2 โดยตัวเครื่องจะมีสายชาร์จติดมาด้วย ความยาวสายมาตรฐานประมาณ 5 เมตร​ ซึ่งจุดนี้เป็นข้อได้เปรียบเพราะรถญี่ปุ่นหรืออเมริกาบางรุ่นที่ใช้หัว Type 1 ก็สามารถใช้กับเครื่องนี้ (ผ่านรุ่นที่เป็นสาย Type 1) ส่วนรถยุโรป/ไทยที่ใช้ Type 2 ก็มีรุ่นสาย Type 2 ให้เลือก

    • ความทนทาน: ตัวกล่องชาร์จมีมาตรฐานป้องกัน IP54 สามารถติดตั้งกลางแจ้งได้ ทนต่อฝุ่นและละอองน้ำทั่วไป แต่ควรหลีกเลี่ยงการโดนน้ำฝนโดยตรงอย่างต่อเนื่อง (ควรมีหลังคากันฝนเพิ่มเติมเมื่อติดตั้งภายนอก)

    • การควบคุมและการเชื่อมต่อ: โดดเด่นด้วยระบบ ChargerSync ซึ่งผู้ใช้สามารถควบคุมการทำงานของเครื่องผ่านแอป ChargerSync บนมือถือหรือแท็บเล็ต เช่น สั่งเริ่ม/หยุดชาร์จ, ตั้งเวลาการชาร์จ ล่วงหน้าในช่วง Off-peak, ปรับลดกระแสชาร์จตามต้องการ รวมถึงตรวจสอบหน่วยพลังงานที่ใช้ไปและค่าไฟฟ้าผ่านแอปได้โดยตรง​นอกจากนี้ตัวเครื่องยังรองรับ Bluetooth, Wi-Fi และ 4G ทำให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อตรวจสอบสถานะหรืออัปเดตเฟิร์มแวร์ได้

    • ฟังก์ชันเสริมความปลอดภัย: มีการ์ด RFID สำหรับแตะเพื่อเริ่มการชาร์จที่ตัวเครื่อง (กรณีต้องการจำกัดให้เฉพาะผู้มีบัตรที่ได้รับอนุญาตใช้งาน) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ในที่สาธารณะหรือคอนโด นอกจากนี้ยังมีระบบป้องกันไฟกระชากและตัดไฟเมื่อชาร์จเต็ม

    • ประสิทธิภาพการชาร์จ: ด้วยการออกแบบทางวิศวกรรมที่ดี ABB Terra AC สามารถชาร์จรถบางรุ่นได้เต็ม 100% ภายในประมาณ 2 ชั่วโมง เมื่อใช้ร่วมกับรถที่รองรับการชาร์จ 22 kW (เช่น รถรุ่นที่มีแบตไม่ใหญ่มาก)​ แต่สำหรับรถทั่วไปจะอยู่ในช่วง 4-7 ชั่วโมงตามขนาดแบตเตอรี่

    • ราคา: ABB Terra AC Wallbox มีราคาประมาณ 50,000 – 60,000 บาท ใกล้เคียงกับ Wallbox Pulsar Max โดยแลกกับแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและการรับประกันมาตรฐานสูง (ส่วนใหญ่รับประกัน 2 ปี) เหมาะกับผู้ใช้ที่มองหาความเสถียรและปลอดภัยเป็นหลัก

3. Wallbox Pulsar Plus

   Wallbox Pulsar Plus เป็นอีกรุ่นจากค่าย Wallbox ที่ได้รับความนิยมสูง โดย Pulsar Plus จะมีสเปกใกล้เคียงกับ Pulsar Max แต่เป็นรุ่นที่ออกมาก่อนและมีตัวเลือกกำลังไฟจำกัดเฉพาะแบบไฟเฟสเดียว 7.4 kW เท่านั้น รุ่นนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องชาร์จ Wallbox คุณภาพสูง แต่ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังไฟถึง 22 kW ทำให้ราคาย่อมเยาลงเล็กน้อย จุดเด่นของ Wallbox Pulsar Plus มีดังนี้

      • กำลังไฟ: รองรับสูงสุด 7.4 kW (32A, 1 เฟส) เท่านั้น ไม่มีรุ่นสามเฟส 22 kW ให้เลือก ดังนั้นจึงเหมาะกับบ้านพักอาศัยทั่วไปที่ใช้ไฟเฟสเดียวเป็นหลัก​

      • หัวชาร์จและสาย: มีทั้งรุ่นสาย Type 1 และ Type 2 (เลือกตามรถที่จะใช้) สายชาร์จติดมากับตัวเครื่องยาว 5 เมตร มาตรฐาน ตัวเครื่องมีขนาดเล็กกะทัดรัด น้ำหนักเพียง ~1.9 กิโลกรัม (ไม่รวมสาย)​

      • มาตรฐานกันน้ำฝุ่น: IP54 สามารถติดตั้งกลางแจ้งได้เช่นกัน (ระดับเดียวกับ ABB Terra AC)

      • การเชื่อมต่อ: รองรับ Wi-Fi และ Bluetooth ในการเชื่อมต่อกับแอป myWallbox เพื่อควบคุมสั่งงานเหมือนรุ่น Pulsar Max ทุกประการ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะและสั่งงานผ่านมือถือได้สะดวก และมีไฟ LED แสดงสถานะการทำงาน

      • ฟีเจอร์ความปลอดภัย: มีระบบป้องกันไฟเกินและตัดการทำงานเมื่อชาร์จเต็มหรือมีความผิดปกติ เช่นเดียวกับ Pulsar Max ทำให้ปลอดภัยต่อแบตเตอรี่รถและระบบไฟฟ้าบ้าน

      • ข้อแตกต่างจาก Pulsar Max: สิ่งที่ Pulsar Plus ต่างคือ รองรับกำลังไฟเพียงขนาดเดียว 7.4 kW ไม่รองรับสามเฟส และไม่มีตัวเลือกสายยาว 7 เมตร (มาเป็น 5 เมตรมาตรฐาน) รวมถึงราคาที่ถูกกว่ารุ่น Max เล็กน้อย

      • ราคา: Wallbox Pulsar Plus ราคาประมาณ 40,000 – 50,000 บาท โดยมีโปรโมชั่นติดตั้งรวมในช่วงประมาณ 45,000 บาท (ถูกกว่ารุ่น Pulsar Max เล็กน้อย) จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ใช้บ้านทั่วไปที่ต้องการ Wallbox แต่ไม่ได้ต้องการกำลังชาร์จระดับสูงสุด

4. Autel MaxiCharger AC Wallbox

   Autel MaxiCharger AC Wallbox เป็นเครื่องชาร์จรถ EV จากแบรนด์ Autel ซึ่งเป็นที่รู้จักด้านอุปกรณ์ยานยนต์และเทคโนโลยีสัญชาติจีน-อเมริกัน รุ่นนี้ถือเป็นน้องใหม่มาแรงในตลาดที่ได้รับความสนใจเนื่องจากราคาที่ค่อนข้างประหยัดเมื่อเทียบกับฟีเจอร์ที่อัดแน่น Autel MaxiCharger โดดเด่นเรื่องระบบสมาร์ทและความทนทานสูง พร้อมรองรับการชาร์จได้ถึง 22 kW ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าจับตามอง คุณสมบัติสำคัญของรุ่นนี้ ได้แก่

  • กำลังไฟ: รองรับการชาร์จได้สูงสุด 22 kW (32A, 3 เฟส) เช่นเดียวกับรุ่นใหญ่แบรนด์อื่น และแน่นอนว่าสามารถทำงานที่ 7.4 kW (32A, 1 เฟส) ได้ด้วย จึงใช้ได้กับทั้งไฟบ้านปกติและไฟสามเฟส (เลือกการติดตั้งตามระบบไฟที่มี)
  • หัวชาร์จและสาย: มาพร้อมสายชาร์จยาว 5 เมตร หัวชาร์จเป็นแบบ Type 2 ซึ่งครอบคลุมการใช้งานกับรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ ตัวเครื่องมีมาตรฐานป้องกัน IP66 คือกันน้ำกันฝุ่นได้ดีมาก เหมาะกับการติดตั้งกลางแจ้งทุกสภาพอากาศ​plughaus.co
  • ระบบเชื่อมต่อและควบคุม: จุดเด่นของ Autel คือความสามารถด้าน IoT โดยรุ่นนี้รองรับการเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง Ethernet (LAN), Wi-Fi, Bluetooth และซิม 4G ผู้ใช้สามารถควบคุมผ่าน แอป Autel Charge ได้ทั้งบน iOS/Android ซึ่งแอปรองรับฟังก์ชันหลากหลาย เช่น ตั้งเวลาเริ่มหยุดชาร์จ, ตรวจสอบสถานะแบบเรียลไทม์, ดูสถิติหน่วยไฟที่ใช้ และยังมี Autel Charge Cloud สำหรับการมอนิเตอร์และแก้ไขปัญหาระยะไกลผ่านคลาวด์ด้วย​
  • ฟีเจอร์พิเศษ: Autel เคลมว่ามีการนำ AI เข้ามาช่วยจัดการเรื่องอายุการใช้งานแบตเตอรี่ โดยปรับกระบวนการชาร์จให้เหมาะสมเพื่อถนอมแบต (เช่น ปรับลดกระแสเมื่อแบตใกล้เต็ม) นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานผ่านทั้ง RFID Card และการสแกน QR Code ที่ตัวเครื่องเพื่อเริ่ม/หยุดการชาร์จ เพิ่มความสะดวกสำหรับการใช้งานในที่สาธารณะหรือแบ่งปันกับผู้อื่น​ ระบบความปลอดภัยเป็นแบบ Triple Protection คือมีการป้องกันหลายชั้นทั้งจากด้านกระแสเกิน, ไฟฟ้าลัดวงจร และความผิดปกติอื่นๆ
  • ดีไซน์และรางวัล: ตัวเครื่องออกแบบมาอย่างทันสมัย แข็งแรง ได้รับรางวัลการออกแบบระดับนานาชาติ เช่น Red Dot Design Award และ iF Design Award 2022 การันตีทั้งความสวยงามและฟังก์ชัน
  • ราคา: จุดที่ทำให้ Autel MaxiCharger ได้รับความนิยมคือ ราคาคุ้มค่า โดยรุ่น 7.4 kW มีราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000 บาทต้นๆ (ไม่รวมค่าติดตั้ง) ส่วนรุ่น 22 kW ราคาประมาณ 40,000 – 50,000 บาท ซึ่งมักจะรวมค่าติดตั้งและประกัน 2-3 ปีแล้วในหลายแพ็กเกจ ถือว่าถูกกว่าคู่แข่งอย่าง Wallbox หรือ ABB อยู่พอสมควร ทำให้ผู้ที่มีงบจำกัดแต่ต้องการเครื่องชาร์จสเปกสูงหันมาเลือกใช้รุ่นนี้กันมากขึ้น

5. Delta AC Max

   Delta AC Max คือเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ Delta Electronics บริษัทชั้นนำด้านพาวเวอร์ซัพพลายและโซลูชั่นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งมีสำนักงานในไทยและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล รุ่น AC Max นี้ถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานทั้งในบ้านและเชิงพาณิชย์ ด้วยคุณสมบัติเด่นที่รวมความทนทาน กำลังสูง และระบบสมาร์ทไว้ด้วยกัน ในขณะที่ขนาดตัวเครื่องยังค่อนข้างเล็กกะทัดรัดเมื่อเทียบกับกำลังที่ให้ได้ รายละเอียดสำคัญของ Delta AC Max มีดังนี้

  • กำลังไฟ: รองรับสูงสุด 22 kW (32A, 3 เฟส) เช่นเดียวกับรุ่นท็อปอื่นๆ และสามารถติดตั้งให้ทำงานบนระบบไฟ 1 เฟสที่ 7.4 kW ได้ด้วย จุดนี้ทำให้ AC Max ใช้งานได้ยืดหยุ่นในหลายสถานที่ สำหรับบ้านที่มีไฟสามเฟส เครื่องนี้สามารถใช้ศักยภาพได้เต็มที่ที่ 22 kW​

  • ความทนทานและมาตรฐาน: ตัวเครื่องได้รับมาตรฐาน IP55 สำหรับกันน้ำกันฝุ่นระดับสูง เหมาะกับติดตั้งกลางแจ้ง และมีความทนทานต่อแรงกระแทกระดับ IK08​ โครงสร้างภายนอกแข็งแรงทนทานต่อสภาพแวดล้อมอากาศร้อนชื้นของไทยได้ดี นอกจากนี้ Delta ยังออกแบบให้รุ่นนี้มีขนาดค่อนข้างเล็ก เมื่อเทียบกับเครื่องชาร์จ 22 kW แบรนด์อื่น ทำให้ประหยัดพื้นที่ติดตั้ง

  • หัวชาร์จและสาย: ใช้หัวชาร์จมาตรฐาน Type 2 สายชาร์จยาว 5 เมตร ติดกับตัวเครื่อง เช่นเดียวกับรุ่นอื่นๆ ในกลุ่มนี้

  • เวอร์ชันของสินค้า: Delta AC Max มีรุ่นย่อยให้เลือกคือ Basic และ Smart โดยรุ่น Smart จะมีฟังก์ชันการเชื่อมต่อสื่อสารครบครัน เช่น OCPP และการต่ออินเทอร์เน็ต ส่วนรุ่น Basic จะเน้นใช้งานแบบสแตนด์อโลน (ไม่มีฟีเจอร์ออนไลน์) ผู้ใช้สามารถเลือกตามความต้องการ หากติดตั้งที่บ้านอาจเลือก Basic เพื่อประหยัดงบ แต่หากติดตั้งในองค์กรหรือคอนโดที่ต้องการเชื่อมระบบบริหารจัดการ ก็ควรเลือก Smart​

  • การเชื่อมต่อและโปรโตคอล: รุ่น Smart รองรับการเชื่อมต่อ Ethernet (LAN), Bluetooth, Wi-Fi และ Cellular (4G) พร้อมทั้งรองรับมาตรฐาน OCPP (Open Charge Point Protocol) สำหรับการเชื่อมต่อกับระบบบริหารจัดการสถานีชาร์จกลาง หรือแอปของผู้ให้บริการ ทำให้สามารถรวมเข้าในเครือข่ายชาร์จหรือควบคุมจากระบบส่วนกลางได้ นอกจากนี้ยังรองรับ ISO 15118 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับฟังก์ชัน Plug and Charge (การเสียบแล้วชาร์จได้ทันทีที่สถานีที่รองรับ ซึ่งถือว่าเตรียมพร้อมสำหรับเทคโนโลยีในอนาคต

  • การควบคุมการใช้งาน: แม้รุ่น Basic จะไม่มี Wi-Fi แต่ผู้ใช้ยังสามารถปรับตั้งค่ากระแสและดูสถานะพื้นฐานผ่านทางหน้าเครื่องหรือใช้ Bluetooth เชื่อมต่อแอปในระยะใกล้ได้ ส่วนรุ่น Smart สามารถควบคุมผ่านแอป/เว็บของ Delta ได้อย่างเต็มรูปแบบ

  • ราคา: Delta AC Max มีช่วงราคาที่กว้างขึ้นอยู่กับเวอร์ชัน Basic หรือ Smart และกำลังไฟที่เลือก โดยรุ่น Basic 7.4 kW มีราคาเริ่มต้นประมาณ 25,000 – 30,000 บาท (ไม่รวมติดตั้ง) ส่วนรุ่น Smart 22 kW ราคาปกติจะอยู่ราว 60,000+ บาท แต่บ่อยครั้งมีโปรโมชั่นลดราคามาอยู่ในช่วง ประมาณ 40,000 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากสำหรับเครื่องชาร์จ 22 kW ที่มีฟีเจอร์ระดับองค์กร​facebook.com ดังนั้น Delta AC Max จึงเป็นตัวเลือกยอดนิยมทั้งในกลุ่มผู้ใช้บ้านที่อยากได้เครื่องชาร์จทนๆ ใช้นานๆ และกลุ่มองค์กรมหาวิทยาลัยหรือห้างร้านที่ติดตั้งให้ผู้คนใช้งาน

เปรียบเทียบสั้น ๆ ทั้ง 5 รุ่น

   หากเน้นดีไซน์เล็กกระทัดรัดและแอปพลิเคชันใช้ง่าย Wallbox Pulsar Max/Plus จะตอบโจทย์ โดย Pulsar Plus เหมาะกับงบที่จำกัดกว่าเล็กน้อย ส่วน ABB Terra AC เหมาะกับผู้ที่ให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่น่าเชื่อถือระดับสากล และต้องการหัวชาร์จที่ยืดหยุ่นรองรับได้ทั้ง Type 1/2 ด้าน Autel MaxiCharger นั้นโดดเด่นเรื่องฟีเจอร์ล้ำสมัยและราคาประหยัด เหมาะกับผู้ที่ต้องการของคุ้มค่า และสุดท้าย Delta AC Max เหมาะกับการใช้งานสมบุกสมบันในระยะยาว ให้กำลังสูงและมาตรฐานอุตสาหกรรม ในราคาที่แข่งขันได้ ทั้งนี้ทุกรุ่นที่กล่าวมา รองรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้ทุกยี่ห้อ ที่ใช้มาตรฐานหัวชาร์จตามสเปกของเครื่อง (ส่วนใหญ่คือ Type 2 ซึ่งเป็นมาตรฐานหลักในไทย)

ข้อแนะนำเพิ่มเติมสำหรับการติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน

   เมื่อเลือกซื้อเครื่องชาร์จได้แล้ว การติดตั้งที่ถูกต้องถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อความปลอดภัย ควรติดตั้งโดยช่างไฟฟ้ามืออาชีพที่ได้รับใบอนุญาต และมีประสบการณ์ด้านระบบชาร์จรถ EV โดยเฉพาะ ทั้งนี้ก่อนใช้งานเครื่องชาร์จควรแจ้งไปยังการไฟฟ้าฯ ในพื้นที่ของท่านเพื่อให้คำแนะนำหรือตรวจสอบความพร้อมของมิเตอร์ไฟฟ้าหากจำเป็น นอกจากนี้ควรติดตั้งสายดิน (Grounding) อย่างถูกต้อง และหลังติดตั้งควรทดสอบการทำงานของ เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ทุกฟังก์ชัน รวมถึงระบบตัดไฟรั่วและเบรกเกอร์ว่าทำงานเป็นปกติ สุดท้ายนี้ ผู้ใช้ควรศึกษาคู่มือการใช้งานของเครื่องชาร์จที่ติดตั้ง เช่น วิธีการเสียบและถอดหัวชาร์จอย่างถูกต้อง, ช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมในการใช้งาน, และการดูแลรักษาอุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพดี หมั่นตรวจสอบสายชาร์จและหัวต่อว่าไม่มีความเสียหาย ก่อนชาร์จทุกครั้ง เพื่อให้การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านเป็นไปอย่างราบรื่น ปลอดภัย และยืดอายุการใช้งานของทั้งเครื่องชาร์จและรถ EV ของคุณในระยะยาว

บริษัท ควีนเอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด

โทร 

090-963-1565

Facebook

Queen Interior

Line@

@queen-interior

Scroll to Top